เบี้ยประกันรถยนต์

เรื่องราวน่ารู้ของ เบี้ยประกันรถยนต์ ที่นักขับทุกคนควรรู้

​​เชื่อเหลือเกินว่า นักขับมือใหม่ หรือคนที่เพิ่งเริ่มขับขี่รถยนต์ อาจยังไม่คุ้นเคย หรือมีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องของการทำประกันภัยรถยนต์ค่อนข้างน้อย และอาจยังมีคำถามมากมายเกี่ยวกับเรื่องของเบี้ยประกันรถยนต์ ว่าจริง ๆ แล้ว มันคืออะไรกันแน่ และมันจะส่งผลอย่างไรต่อการเลือกซื้อประกันรถกันนะ

ก่อนอื่นต้องขอเล่าคร่าว ๆ ก่อนว่า เบี้ยประกันภัยรถยนต์นั้น คือ เงินที่ผู้เอาประกันรถยนต์ต้องชำระเพื่อแลกกับการรับความคุ้มครองตามข้อตกลงของแผนประกัน แผนนั้น ๆ โดยการเรียกเก็บเงินค่าเบี้ยประกันรถยนต์นั้นก็จะมีทั้งรูปแบบของการชำระแบบเป็นงวด คือทยอยชำระไปอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะครบยอดตามที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ กับอีกรูปแบบก็คือการชำระแบบเหมาจ่าย เป็นการชำระเงินก้อนเพียงครั้งเดียวแล้วจากนั้นก็จะได้รับความคุ้มครองไปจนกว่าจะครบเวลาตามที่กำหนดไว้ในกรรมธรรม์ ซึ่งเงื่อนไขตรงนี้ผู้เอาประกันสามารถเลือกและทำข้อตกลงกับบริษัทประกันภัยได้เอง โดยพิจารณาตามความต้องการของตนเองได้เลย

แต่ด้วยความที่หลาย ๆ คนอาจจะยังไม่สันทัดเรื่องการทำประกันรถยนต์มากนัก จึงยังไม่แน่ใจว่า ก่อนจะเลือกความคุ้มครองสักแผน จะต้องมีปัจจัยอะไรมาประกอบการตัดสินใจบ้าง แนะนำว่าควรเริ่มต้นจากปัจจัยต่อไปนี้

  • ประเมินตนเอง

การประเมินตนเองเป็นสิ่งที่ควรทำเป็นขั้นตอนแรก ๆ เลย เพื่อให้รู้ว่าตัวคุณนั้นมีความเหมาะสม หรือมีคุณสมบัติใดที่ขาดตกบกพร่องไปบ้าง เริ่มจากการลิสต์สิ่งที่ต้องการจากประกันรถยนต์, ลักษณะการใช้งานรถยนต์, พฤติกรรมการขับขี่ และที่สำคัญเลยก็คือ งบประมาณที่มี เพียงพอต่อการชำระค่าเบี้ยประกันรถยนต์หรือไม่ โดยแนะนำว่า เงินที่จะนำมาชำระค่าเบี้ยประกัน ไม่ควรเป็นจำนวนเงินที่เกินร้อยละ 30 ของรายได้เฉลี่ยต่อเดือน เพื่อไม่ให้เป็นการไปรบกวนการใช้จ่ายจนเกินไป เพราะการนำเงินมาจ่ายค่าเบี้ยจนเกินพอดี ก็อาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต จนมีปัญหาด้านการเงินในภายหลังได้ เรียกได้ว่าจากที่จะใช้ชีวิตสะดวกขึ้น กลายเป็นลำบากมากกว่าเดิม เพราะฉะนั้นจึงควรประเมินตนเองก่อนว่าต้องการอะไร และจ่ายไหวมากแค่ไหนนั่นเอง

  • พิจารณาความเสี่ยง

เพราะรถยนต์แต่ละคันก็มีลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกัน บางคนอาจใช้ขับขี่ทางไกลเป็นหลัก แต่บางคนอาจใช้ขับขี่ในระยะใกล้ เป็นรถสำหรับครอบครัว ปัจจัยเหล่านี้ก็จะมีผลต่อราคาเบี้ยประกันภัย หากพิจารณาโดยรวมแล้วเล็งเห็นว่า การใช้รถยนต์ลักษณะนี้มีความเสี่ยงสูง ก็สมควรได้รับความคุ้มครองที่มากกว่า เช่น การใช้รถยนต์ขับขี่ไปยังต่างที่ต่างถิ่นบ่อย ๆ หรือรถยนต์คันนี้เปลี่ยนมือผู้ขับบ่อย ก็สมควรที่จะได้รับความคุ้มครองที่มากกว่า

  • สถานภาพของผู้ขับขี่

โดยส่วนมากแล้ว บริษัทฯ มักจะพิจารณาค่าเบี้ยประกันรถยนต์โดยดูสถานภาพของผู้ขับขี่ประกอบการพิจารณาด้วย ว่าผู้ขับขี่เป็นบุคคลเพศใด อายุมาก-น้อย และมีประวัติการขับขี่เป็นอย่างไรบ้างในช่วงเวลาที่ผ่านมา เพราะปัจจัยเหล่านี้สามารถบ่งบอกได้ว่ารถยนต์จะมีแนวโน้มเสี่ยงมากกว่าหรือไม่ค่อยมีความเสี่ยงมากนัก หากเล็งเห็นว่ามีความเสี่ยงสูงก็อาจปรับค่าเบี้ยประกันรถยนต์สูงขึ้นเพื่อความเหมาะสม

Tags: